Yamaha แบรนด์กีตาร์ญี่ปุ่น ไม่มีวันตาย

Yamaha กีตาร์ที่ไม่ได้ถูกสนใจสักเท่าไหร่ แต่มีรุ่นดีๆออกมามากมายตลอดอายุของแบรนด์ และแน่นอนยังอยู่จนถึงทุกวันนี้
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 20กว่า ปีก่อน ชีวิตของเด็กมัธยม ที่สะพายกีตาร์ไปโรงเรียน ในช่วงนั้นถ้าใครมียามาฮ่า F310
ยามาฮ่าเป็นองค์กรขนาดใหญ่ เริ่มต้นธุรกิจจากการซ่อมออร์แกน
ยุคแรกของกีตาร์ไฟฟ้า Yamaha
ในปี 1966 Yamaha เริ่มทำกีตาร์เลียนแบบ Gibson และ Fender อย่างจริงจัง Yamaha เริ่มผลิตกีตาร์ไฟฟ้า โดยรุ่นแรกๆจะเป็น S-201 และ S-302
Yamaha เริ่มมีชื่อเสียงในญี่ปุ่นจากคุณ Yuzo Kayama เขานักแสดงชื่อดังของญี่ปุ่น เขาใช้กีตาร์ Yamaha หลายตัวในภาพยนตร์ของเขา ผู้คนต่างหันมาเริ่มเล่นกีตาร์ไฟฟ้ากันมากขึ้นโดยเฉพาะวัยรุ่นสมัยนั้น
ความเฟื่องฟูนี้ทำให้ Yamaha มียอดขายที่ดี
ในปี 1967 Yamaha ได้เปลี่ยนรุ่นจาก S เป็นรุ่น SG ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์ของ SG ในยุคแรกๆ โดยกีตาร์ Yamaha SG เหล่านี้ถือเป็นของสะสมในปัจจุบัน
กีตาร์เหล่านี้เป็นกีตาร์ที่ออกแบบขึ้นใหม่ซึ่งแตกต่างจาก SG ของ Gibson แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดวิกฤตกีตาร์ในญี่ปุ่นช่วงปี 1968-71 ยอดขายกีตาร์แทบจะทุกแบรนด์ลดลง Yamahaก็เช่นกัน
การเริ่มต้นอีกครั้งของ Yamaha
ตั้งแต่ปี 1972 อุตสาหกรรมกีตาร์ของญี่ปุ่นได้เริ่มต้นยุคใหม่อีกครั้ง (โปรดดูประวัติ Greco)
ในเดือนเมษายนปี 1972 ยามาฮ่าได้พัฒนากีตาร์ดีไซน์ใหม่ในแบบ Solid Body โดยใช้ชื่อรุ่น SG เหมือนเดิม แต่การออกแบบแตกต่างจาก SG รุ่นก่อนอย่างสิ้นเชิง
ประการแรก พวกเขาออกแบบกีตาร์ให้มีลักษณะคล้าย Les Paul (แบบ Single cutaway) โดยมีเส้นสายที่นุ่มนวลมากกว่า ซึ่งเป็นโครงสร้างคอแบบถอดได้ Bolt on น่าเสียดายที่กีตาร์รุ่นนี้ขายได้น้อยมาก
ด้วยยอดขายที่ไม่ดี ในปีเดียวกันในเดือนธันวาคม ยามาฮ่าได้เปิดตัวซีรีส์ SG ใหม่ การออกแบบยังคงให้เหมือน Gibson ปิ๊กอัพทั้งหมดเป็นแบบฮัมบัคกิ้งพร้อมแม่เหล็กอัลนิโค
รุ่นยอดนิยม SG-85 ใช้ Body กีตาร์ เป็นไม้ Honduran Mahogany ส่วน Fingerboard เป็น Ebony และมีการต่อคอแบบ Set neck
พอมาถึงตรงนี้ ถ้าข้อมูลไม่ผิด กีตาร์รุ่นนี้เป็นกีตาร์ไฟฟ้าแบบ Set neck ตัวแรกจากยามาฮ่า
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ยอดขายของ Yamaha SG ไม่ค่อยดีนัก
ในปี 1973 Yamaha ได้ปล่อยกีตาร์ SG แบบใหม่ทรง Double Cutaway และคอแบบปรับได้ Adjustable neck
กีตาร์ทรงใหม่นี้ เป็น Design แบบ Double Cutaway แรกและใกล้เคียงกับทรงในปัจจุบัน
Yamaha กับรุ่น SG-175
ในเดือนพฤศจิกายน 1974 ยามาฮ่าได้ประกาศเปิดตัวซีรีส์ SG/SX ใหม่ทันที การออกแบบของ
SG ที่เท่ห์ที่สุดได้ถือกำเนิดขึ้น SG-175 โด่งดังมาก ด้วยโครงสร้างแบบ Archtop มีการเดิน Abalone เป็นเส้นรอบตัว วัสดุที่ใช้ในการสร้างเป็นเกรด Topทั้งหมด
Yamaha และ Santana
Yamaha ติดต่อให้ Carlos Santana เป็นพรีเซ็นเตอร์ SG-175 หลังจาก Santana ได้ใช้ SG-175 เขาได้แนะนำจุดบกพร่องต่างๆ เพื่อให้ Yamaha นำไปพัฒนา
1) น้ำหนักเบาเกินไป ต้องมีน้ำหนักมากกว่านี้เพื่อให้ได้ Sustain ที่เพียงพอ
2) ต้องมี 24 เฟร็ต เพราะ Gibson LP ไม่มี
3) Buddha Inlay
หลังจากนั้น Yamaha ก็เริ่มพัฒนา พวกเขาได้ปรับเปลี่ยนความหนาของตัวกีตาร์ มีcontour ที่บอดี้ด้านหลัง บริดจ์ Tune-O-matic สวิตช์เลือกสวิตช์คราฟต์ และ Buddha อินเลย์
แต่แล้ว Santana ไม่ยอมรับต้นแบบนี้ เขาต้องการซัสเทนที่ยาวนานกว่านี้
จาก Comment ของ Santana กลายเป็นการบ้านให้กับ Yamaha สุดท้าย Yamaha ได้ปรับอีกหลายอย่าง
- T-Cross Construction One-Piece Neck
- 2-piece Top in teakwood
- Sustain Plate below bridge
- Wide-Travel Bridge
- New Pickup OPG-I
หลังจากนั้น Santana ก็ เริ่มใช้กีตาร์รุ่นพิเศษนี้ในการแสดงสดของเขา
ต้นกำเนิด SG-2000
Yamaha ได้รับเสียงเรียกร้องมากมาย ให้ทำ SG-175 ให้คล้ายกับกีตาร์ของ Santana เพราะมันมีโครงสร้างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฝ่ายบริหารของ Yamaha ตัดสินใจเปิดตัว SG-2000 ในปี 1976
SG-2000 มีคุณสมบัติเกือบจะเหมือนกับ Santana Buddha SG ความแตกต่างน่าจะอยู่ที่
ปิ๊กอัพ (Santana เปลี่ยนเป็น Gibson PAF) วัสดุไม้ Top เป็นเมเปิ้ล 3 ชิ้น และจำนวนเฟร็ตเป็น 22 เฟรต แน่นอนว่าคอ (มะฮอกกานี+เมเปิ้ล+มะฮอกกานี) เป็นคอแบบ Neck Through Body
Yamaha เริ่มส่งออกซีรีส์ SG-2000 ใหม่โดยใช้ชื่อ SBG ในต่างประเทศ พวกเขาไม่ได้ใช้คำนำหน้า SG เนื่องจากมันตรงกับชื่อรุ่น Gibson SG
Yamaha เพียงป้องกันคดีความด้วยชื่อทางการค้า ความแตกต่างระหว่าง SG ในประเทศและ SGB อยู่ที่ Tone Pot SG-2000 ไม่มีสวิตช์ Push/Push coil Tap ซึ่ง SG-1000 ที่ขายในประเทศญี่ปุ่นมีฟังก์ชันนี้เป็นมาตรฐาน