ทำไม Bracing (เบรสซิ่ง) กีตาร์โปร่งกับคลาสสิก แตกต่างกัน?

ทำไมโครงสร้างภายใน หรือที่เรียกว่า Bracing ของกีต้าร์โปร่ง และกีต้าร์คลาสสิกจึงแตกต่างกัน
จากบทเรียนที่แล้ว เราเรียนรู้ว่าไม้หน้ามีการ Movement เวลาเราเล่น ที่แตกต่างกันหลักๆ อยู่ 3 แบบคือ
- Monopole
- Cross dipole
- Long dipole
ซึ่งการ movement ของไม้หน้าที่แตกต่างกันสร้างโทนเสียงที่แตกต่างกันให้กับอะคูสติกกีตาร์และคลาสสิค
Tone ของการ movement ในแต่ละแบบจะมีความแตกต่างกันค่อนข้างสูง ซึ่งในกีตาร์ 1 ตัว มันจะมีโทนที่สามารถเป็นได้ทั้ง 3 แบบเลย แต่จะขึ้นอยู่กับการสร้าง รูปแบบของ Bracing และอื่นๆอีกหลายอย่าง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการสร้างโทนเสียงจะมีอยู่ 2 ปัจจัย คือ
- ชนิดของสายที่ใช้
- โครงสร้างที่ใช้
กีตาร์โปร่ง ใช้สายเหล็ก
กีตาร์คลาสสิค ใช้สายไนลอน
ซึ่งสายทั้ง 2 ชนิดนี้ ให้โทนที่แตกต่างกันอยู่แล้ว ถ้าเกิดเราลองสังเกตดีๆ
- Tone ของสายไนลอน จะเป็นเสียงที่ Warm ค่อนข้างอุ่น ผมไม่ได้บอกว่าเป็นเสียงเบสหรือว่าเสียงแหลมนะครับ
- Tone กีตาร์สายเหล็ก จะเป็นโทนที่ Bright
ที่นี้การเลือกใช้สายของกีตาร์ทั้งสองชนิดนี้ มันถูกพัฒนามาเรื่อยๆตามยุคสมัย ด้วยความที่การพัฒนาของกีตาร์มาถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนจากกีตาร์สายไนลอนหรือว่าสายดั้งเดิมมาเป็นสายเหล็ก ดังนั้นจึงพัฒนาโครงสร้าง Bracing
- เพื่อให้เกิดความดัง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เขาก็เลยต้องหาวิธีว่าจะทำยังไง ให้สายเหล็กมันสามารถใช้บนกีตาร์ได้ ด้วยความที่สายเหล็กมันแข็ง และมีแรงตึงมาก
- เพื่อให้เกิดเสียงที่ Warm เพราะสายเหล็กมีความ Bright เขาจึงต้องแก้ไขตรงนี้ ให้เสียงที่ได้มีความ warm เกิดขึ้น
โครงสร้างภายในกีตาร์
X-Bracing ของกีตาร์โปร่ง
โครงสร้างของเบสซิ่งที่มีการวางเป็นรูปตัว X โครงสร้างแบบนี้ ช่วยทำให้การ movement ของไม้หน้าเป็นแบบ Monopole ซึ่งจะมีความกว้างที่สุด นั่นจึงทำให้เกิดเสียงที่มีความ warm และย่านเสียงต่ำที่ดี ซึ่ง Guitar Acoustic ที่เป็นกีตาร์โปร่งขาดตรงนี้
เรามาดูกันว่า X-Bracing ทำยังไง
X-bracing จะมีบริดว่างอยู่กลาง และคร่อมไม้ bracing ที่เป็นรูป X เอาไว้ เวลาที่เราดีด ไม้หน้ายกไม้หน้าทั้งหมดตั้งแต่ช่วงใ่ต้ Transverse Bar สังเกตว่ามันยกด้วย Loop การสั่นที่ใหญ่มากที่สุด ดังนั้นเสียงที่ได้จะเป็นเสียง Warm ค่าโน๊ตก็จะเป็น Loop ใหญ่ เป็นการยกไม้หน้าแบบ Monopole

ถ้าพูดกันลึกๆ X-bracing ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อ Tone เสียงเพียงอย่างเดียว แต่ออกแบบมาเพื่อโครงสร้างที่แข็งแรงด้วย แต่เหตุผลของการสร้างโครงสร้างที่แข็งแรง ก็เกิดมาจากความต้องการที่จะได้ Tone ที่ใหญ่
ถ้าสังเกตดีๆ X-bracing จะมีการ movement ในหลายๆส่วน วันนี้จะพูดอีกส่วนหนึ่งก็คือ Waist เอว ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่สร้างย่านเสียง Bright ถ้าลองดูที่ทรง Dreadnought กับ OM จะมี Waist ที่แตกต่างกัน

การทำให้เอวคอดจะสร้างย่าน High pitch เสียงจะสูงขึ้น ซึ่งจะบังคับให้ loop ของสายเล็กลง

Bracing ของกีตาร์คลาสสิก
Bracing ของคลาสสิค เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจะมี Bar คั่น การสร้างเสียงถูกจำกัดอยู่ใน Loop ที่เล็กกว่ากีตาร์โปร่ง
จากเดิมเสียงของสายไนลอนมีความ warm อยู่แล้ว ซึ่งมาเจอกับโครงสร้างที่บังคับให้ Loop การสั่นสามารถสั่นได้น้อยลง ดังนั้น Loop นี้จะได้ย่านเสียงที่ Bright กว่า เพื่อเป็นการ Balance กัน

กีตาร์คลาสสิกจะบังคับให้เกิด monopole ในส่วนล่าง ซึ่งเป็น loop การสั่นมากนัก แต่การทำกีตาร์ไม่สามารถสร้างโทนเสียงเดียวได้ เขาจึงมีตัวที่เรียกว่า Fan bracing เข้ามาเพิ่ม เพื่อกำหนด loop การสั่นย่อยๆ ให้เกิดขึ้น ซึ่งตัว Fan bracing จะกำหนดให้เกิด Cross dipole สร้างเสียง High pitch เพิ่มขึ้นนั่นแเอง

สรุป
- โทนของกีตาร์สายเหล็กมีเสียง Bright เขาจึงชดเชยโดยการเพิ่มเสียงย่าน Warm
- โทนกีต้าร์คลาสสิกมีเสียงที่ Warm เขาจึงชดเชยโดยการเพิ่มเสียงย่าน Bright
นั่นเป็นเหตุผลกีตาร์โปร่ง และกีตาร์คลาสสิก จึงมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน โดยใช้การกำหนด Loop ของการสั่นไม้หน้าให้เป็นไปตามสิ่งที่เขาต้องการ
เราจะพูดเรื่องการคิดโครงสร้างของ Bacing กันในบทต่อๆไปซึ่งจะลึกกว่านี้นะครับ