กีตาร์โปร่ง ต่อคอที่เฟรต 14 กับ 12 ต่างกันอย่างไร

ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า กีต้าร์เกือบ 100% ต่อคอที่เฟรต 14 และกีตาร์คลาสสิกต่อคอที่เฟรต 12
ถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อสัก 160 ปีก่อน กีตาร์ที่ได้รับความนิยม คือ กีตาร์คลาสสิก ซึ่งในยุคนั้นกีตาร์ที่ต่อคอที่เฟรต 14 ยังไม่เกิดขึ้น และในช่วงนั้นเป็นยุคของการพัฒนาเครื่องดนตรีที่เรียกว่า String Instrument
ยุคต่อคอที่เฟรต 12
การที่กีตาร์คลาสสิคได้รับความนิยมเกิดมาจาก ในยุคนั้นการพัฒนาเครื่องดนตรีได้มีการพัฒนาใน 2 เรื่องหลักๆ คือ
- พัฒนาเรื่องเสียง
- พัฒนาเรื่องการเล่น
ด้วยความที่ String Instrument หรือว่าเครื่องสาย เครื่องดีดในสมัยนั้น คอค่อนข้างเล็ก
กีตาร์คลาสสิกก็ไปแก้ปัญหาตรงนั้น โดย
- ทำคอให้ใหญ่ขึ้น
- เพิ่มความยาว Scale Length ทำให้คนเล่นได้ง่ายขึ้น จากที่เล่นสเกลเล็กๆ คอสั้นๆ
- เพิ่มแรงตึงสาย (String Tension) ให้มากขึ้น
- มีการจูนสายแบบใหม่ ซึ่งในสมัยนั้น String Instrument ไม่ได้ถูกจูน สายเหมือนปัจจุบัน
- เปลี่ยนมาต่อคอที่เฟรตที่ 12 ทำให้คนก็สามารถเล่นได้มากขึ้น ด้วยความที่มันมีการพัฒนามาจาก Lute (คุณปู่ของกีตาร์) ซึ่งต่อคอที่เฟรตที่ 8 ซึ่งการเล่นจะถูกจำกัดแค่เฟรต 1 - 8 กีตาร์คลาสสิคก็เป็นตัวที่แหวกแนว
ประเด็นที่มาดีมากๆของการที่ กีตาร์คลาสสิก มาต่อคอที่เฟรต 12 คือ ผู้เล่นสามารถเล่น First Harmonic (ฮาร์โมนิคแรก) ที่เฟรต 12 ได้ง่ายขึ้น เพราะเป็นส่วนของรอยต่อคอพอดี จึงทำให้กีตาร์คลาสสิกเป็นที่นิยม
ส่วนที่น่าสนใจมากๆ คือ การพัฒนาของกีตาร์คลาสสิค มันมีจุดนึงที่สมบูรณ์แบบมากๆ คือ การวางเบลสซิ่ง เราไปดูกันในรูปดีกว่า
มีการวางเบรสซิ่งในส่วนของ Bridge ที่ทำให้ตัว Bridge อยู่ตรงกลางระหว่างไม้ Bracing ตัวที่เป็น Lower Transverse Bar ตัวล่าง กับตูดกีตาร์

สำหรับตัวคลาสสิกจะมี Upper Transverse Bar และ Lower Transverse Bar
ในการออกแบบจะมีการจำกัด Loop ของการสั่นสาย โดยมีตัว Lower Transverse Bar คุมอยู่ (ผมขออธิบายคร่าวๆแบบนี้ก่อน ยังมีส่วนที่ลึกว่านี้ในบทความถัดๆไป)
เมื่อตัว Bridge ถูกวางอยู่กึ่งกลางพอดี ทำให้ตัว Bridge มีการ Movement ที่ดีมาก มันเลยทำให้เสียงอิ่ม เสียงชัดเจนขึ้น ก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ กีตาร์คลาสสิกมีเสียงดัง

ยุคต่อคอที่เฟรต 14
หลังจากกีตาร์คลาสสิกได้ถูกพัฒนาขึ้น Lute ก็เริ่มได้รับความนิยมที่น้อยลงไป เป็นยุคของการเปลี่ยนผ่าน
พอกีตาร์คลาสสิก เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการของคนก็มีมากขึ้นตาม นักดนตรียุคนั้นก็ต้องการพื้นที่ในการเล่นที่มากกว่าเดิม
หลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการพัฒนากีตาร์ต่อ โดยปรับตำแหน่งมือให้สามารถเล่นได้ลึกขึ้นอีก 2 เฟรต โดยเปลี่ยนจุดต่อคอจากเฟรตที่ 12 กลายเป็นเฟรตที่ 14
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ได้มีการคิดวิเคราะห์ว่าจะทำยังไงได้บ้าง เพราะตำแหน่งของ Bridge เดิมถูกวางไว้ Perfect แล้ว (กึ่งกลาง lower Transverse bar กับ ตูดกีตาร์)
วิธีแรก
มีการคิดว่าเปลี่ยน Shape ของกีตาร์ใหม่ไปเลยดีมั้ยโดย ตัดช่วงบนเฟรต 12 ออกไปเลย แล้วมาต่อคอที่เฟรต 14 โดยที่ยังคงส่วนล่างไว้เหมือนเดิม ก็ได้มีการแย้งว่ามันไม่สวย เพราะว่ากีตาร์มันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเล่นอย่างเดียว มันถูกออกแบบมาเพื่อความสวยงามด้วย
วิธีที่ 2
ต่อมาก็เลยมีการตัดสินใจว่า เราก็ย้าย Body ทั้งหมด เลื่อนลงมาต่อที่เฟรต 14 เลย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตำแหน่ง Bridge จะอยู่ผิดจากตำแหน่งเดิมโดย Bridge จะเข้าไปใกล้ Transverse Bar มากกว่าเดิม ซึ่ง ทำให้ Loop เหนือ Bridge ถีง Lower Transverse Bar ไม่ Balance กับใต้ Bridge ไปจนถึงตูดกีตาร์

ก็เลยเป็นสาเหตุของการคิด Bracing แบบใหม่
โดยลบ Bracing เดิมไปทั้งหมด แต่คงตัว Upper Transverse Bar ไว้ ตำแหน่งของ Bridge เป็นตำแหน่งเดิม

ยุคออกแบบ X-Bracing
ในยุคนั้นได้มีการดีไซน์ Bracing แบบใหม่ขึ้นจนไปลงล็อคที่ตัว X-Bracing สิ่งเกิดขึ้นคือ X-bracing ได้ไปแก้ปัญหาดังนี้
ตอนแรก ถ้าเกิดเรายังมี Lower Transverse Bar ไว้ Loop การสั่นจะผิดไป แต่ถ้าจะใส่ในส่วน Lower Transverse Bar ให้พอดีกับ Loop เสียงและให้ Bridge อยู่ตรงกลาง Lower Transverse Bar จะพาดผ่าน Soundhole ซึ่งทำแบบนั้นไม่ได้

ในเมื่อมี Bracing ผ่าน Soundhole ไม่ได้
ด้วยความชาญฉลาดมาก ซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นคนออกแบบคนแรก เป็นสิ่งที่เวิร์คมาก คือ
- มีการหลบ Soundhole
- Loop ของเสียงที่ได้ มีพื้นที่ใหญ่มาก การสั่นสะเทือนกลับมาอยู่ตรงกลางเหมือนเดิม

ต้องบอกว่าการออกแบบ X-Bracing ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีการสั่นของไม้หน้าที่หลบตัว Lower Transverse ตรงกลาง
สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ คือ X-bracing มันดีเกินคาด มันทำให้ Loop ของสายทั้งหมดวิ่งวนอยู่ในลักษณะ Loop ใหญ่

ด้วยความยุคนั้นเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน เลยมีการใช้สายเหล็ก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Bracing ไม่ใช่แค่หลบ Lower Transverse Bar ยังต้องสามารถใส่สายเหล็กได้ด้วย ซึ่งตัว X-bracing นั้นก็แข็งแรงพอดี ที่จะใส่สายกีต้าร์เหล็กได้
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกีต้าร์ที่ต่อคอที่เฟรต 14 สมบูรณ์แบบ และได้รับความนิยม
ตอนที่ X bracing เกิดขึ้น มันได้เกิดการสร้างเสียงแบบใหม่ ได้เสียงที่มี Power, Clear และก็ชัด มันจึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
ยุคทรงกีตาร์ใหม่
มาต่อกันที่ความต้องการของคนที่ไม่หยุดหย่อน
หลังจากที่มีการทำกีตาร์ 14 เฟรตได้ มีคนที่ต้องการ X bracing แต่เป็นกีตาร์ 12 เฟรต เพราะคนที่ชอบเล่นกีตาร์ 12 เฟรต อยากได้เสียงที่คม และชัดบ้าง
ในการออกแบบ ถ้าย้ายโครงสร้าง X-bracing ขึ้นไปต่อที่เฟรต 12 เลยก็ไม่สามารถทำได้ เพราะ Bridge ไม่ได้พาดบน X-bracing ดังนั้นจึงต้องคง X-Bracing ไว้ที่ตำแหน่งเดิม

ดังนั้นจึงต้องให้ X Bracing พาดที่ Bridge เหมือนเดิม

พอทำแบบนี้ เสียงที่ได้ ไม่เหมือนเดิม ไม่มี Power เหมือนเดิม การทำแบบนี้ทำให้ Loop การสั่นเปลี่ยนแปลงไป มันดันเหลือ Loop เล็กกว่าเดิม โดยที่ X-bracing ไม่ได้ไปเชื่อมถึง Upper Transverse Bar ด้านบน

ทำให้คนในยุคนั้น ที่ต้องการให้กีตาร์มี Power ด้วยการต่อคอที่เฟรต 12 ยังไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุผล
- Loop การสั่นไม่ถึง Upper Transverse Bar
- พื้นที่ใต้ Bridge เหลือเล็กลง ไม่ Balance กับพื้นที่เหนือ Bridge
พอพื้นที่ในการสั่นไม่เท่ากัน กีตาร์ในยุคนั้นก็เลยได้ถูกออกแบบ Shape ของกีตาร์ทั้งหมดใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่เขาต้องการ
จากเดิมที่เขาต้องการเลื่อน Body ขึ้นไป พื้นที่ด้านใต้ Bridge เหลือเล็กลง พื้นทางด้านบนเหลือมาก
จึงมีการออกแบบกีตาร์ใหม่ เพื่อให้พื้นที่ด้านล่างมีเพิ่มมากขึ้น ก็เลยเป็นเหตุผลว่าในยุคนั้น มีการออกแบบกีตาร์หลายทรง เช่น O, OO, OOO
ถ้าในปัจจุบันนี้ เราจะมองภาพกันว่ากีตาร์ OO OOO ที่ต่อคอที่เฟรต 12 เป็นกีตาร์วินเทจ แต่จริงๆทรงเหล่านี้ก็คือทรง Modern ในสมัยนั้น
สรุป
เรามาทำความเข้าใจกันอีกนิดนึงก็คือ กีตาร์ที่ต่อเฟส 12 กับเฟส 14 ให้เสียงที่แตกต่างกัน
การต่อคอที่เฟรต 12 แบบคลาสสิคเนี่ยมันจะมีลูกกันสั่นสายอยู่ Loop ใต้ Lower Transverse Bar
ก็เลยมีคนคิด Bracing แบบใหม่เป็น X-Bracing ทำให้ loop การสั่นสายมีมากขึ้น ได้ Power มากขึ้นและมีความ
ชัดมากขึ้น
ด้วยความอยากของคน ผู้เล่นกีตาร์ 12 เฟรต จึงอยากได้ความชัด และเคลีย แบบกีตาร์ 14 เฟรตบ้าง พอไปทำแล้วทำไม่ได้ เลยต้องคงรูป X-bracingไว้ แล้วออกแบบทรงใหม่
กีตาร์ X-bracing ที่ต่อที่เฟรต 12 จะมีเสียงที่หวานกว่า จึงนิยมในคนที่ชอบเล่น Finger Style