Intervals (อินเตอร์วัล) คืออะไร?

การทำความเข้าใจคู่เสียงอย่างถ่องแท้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในการเรียนรู้ดนตรีทุกประเภท เนื่องจากคู่เสียงเป็นองค์ประกอบสำคัญของดนตรีสากลที่เราได้ยินกันทุกวันนี้
แต่ละช่วงเสียงจะมีลักษณะเสียงที่แตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งเราควรเข้าใจความสัมพันธ์ของมัน ทั้งทางหูและทางตา
คู่เสียงหากเล่นพร้อมกัน เราจะเรียกว่า Harmony (เสียงประสาน) แต่ถ้าเล่นเรียงกันตามลำดับ จะเรียกว่า Melody (แบบทำนอง)
Intervals (คู่เสียง) คือ ความสัมพันธ์ของเสียงระหว่างโน้ต 2 ตัว ว่าห่างกันแบบไหน
Interval มีอยู่ 2 ชนิดคือ
- Melodic Intervals เกิดจากโน้ตสองตัวที่เปล่งเสียง "ตามลำดับต่อเนื่องกัน"
- Harmonic Intervals ประกอบด้วยโน้ตสองตัวที่เปล่งเสียงออกมา "พร้อมกัน"
ในหนึ่งช่วงเสียง 1 Octave จะแบ่งเป็น 12 ช่วงเสียง ดังนั้นโน้ตจะมีอยู่ทั้งหมด 12 ตัว แต่ละตัวมีระยะห่างกันครึ่งเสียง

โดยโน้ตเพลงจะมีชื่อเรียกอยู่ 7 ชื่อ C, D, E, F, G, A, B นอกนั้นเป็น Sharp , Flat
เราจะเริ่มกันด้วยที่เอา C Major Scale มาวาง แล้ววิเคราะห์

C ไป D ห่างกัน 2 ลำดับ เป็นคู่ 2
C ไป E ห่างกัน 3 ลำดับ เป็นคู่ 3
C ไป F ห่างกัน 4 ลำดับ เป็นคู่ 4
C ไป G ห่างกัน 5 ลำดับ เป็นคู่ 5
C ไป A ห่างกัน 6 ลำดับ เป็นคู่ 6
C ไป B ห่างกัน 7 ลำดับ เป็นคู่ 7
C ไป C ห่างกัน 8 ลำดับ เป็นคู่ 8
หมายเหตุ : ความห่างของลำดับ ไม่ต้องดู Sharp Flat
Sharp Flat เป็นตัวกำหนดระยะห่างที่เอาไว้บอกถึง Quality คุณลักษณะของคู่เสียงนั้น
ชื่อคู่เสียง (Naming Intervals)
นอกจากจะบอกลำดับความห่างของเสียง "เป็นคู่" ตามที่อธิบายด้านบนแล้วยังไม่พอ เพื่อระบุช่วงได้อย่างแม่นยำ จำเป็นต้องจำแนกช่วงทั่วไปตามคุณลักษณะของเสียงด้วย
ส่วนประกอบของชื่อคู่เสียง
ในการบอกชื่อของ Intervals ได้อย่างถูกต้อง ต้องคำนึงถึงหลัก 2 ประการ คือ
- ขนาดของ Intervals (Quantitative) คือ ระยะช่วงห่างระหว่างตัวโน้ต 2 ตัว จากการนับไล่ตามลำดับขั้น (Degree) ซึ่งกำหนดนับจากโน้ตตัวแรก ไปจนถึงตัวโน้ตอีกตัวหนึ่ง
- คุณลักษณะของ Intervals (Qualitative) คือ การบอกคุณลักษณะของคู่เสียงนั้น โดยมี 5 แบบดังนี้
- Perfect แทนด้วย P
- Major แทนด้วย M
- Minor แทนด้วย m
- Augmented แทนด้วย A
- Diminished แทนด้วย d
วิธีเขียนชื่อคู่เสียง
ชื่อของ Interval จะเขียนโดยที่เอา Quality ไว้ด้านหน้า แล้วตามด้วยลำดับ Degree ไว้ด้านหลัง
- คู่เสียง Perfect ขึ้นต้นด้วย P ตามด้วยลำดับ เช่น P5, P4
- คู่เสียง Major ขึ้นต้นด้วย M ตามด้วยลำดับ เช่น M2, M3, M6, M7
- คู่เสียง Minor ขึ้นต้นด้วย m ตามด้วยลำดับ เช่น m2, m3, m6, m7
- คู่เสียง Augmented ขึ้นต้นด้วย A ตามด้วยลำดับ เช่น A4
- คู่เสียง Diminished ขึ้นต้นด้วย d ตามด้วยลำดับ เช่น d5
ประเภทของ Intervals
Perfect Intervals
Perfect Intervals ประกอบด้วย Octave, Unison, Fifth, Fourth
โน้ตที่ฟังแล้วเข้ากัน เสียงกลืนกัน (Consonance) ประกอบไปด้วย
- P1 (Perfect Unison) คือโน้ตตัวเดียวกัน C กับ C
- P4 (Perfect Fourth) คือ โน้ตคู่สี่ เช่น C กับ F ห่างกัน 5 ครึ่งเสียง
- P5 (Perfect Fifth) คือ โน้ตคู่ห้า เช่น C กับ G ห่างกัน 7 ครึ่งเสียง
- P8 (Perfect Octave) คือ โน้ตเดียวกัน ที่ห่างกัน 1 Octave 12 ครึ่งเสียง
Imperfect Intervals
Imperfect Intervals ประกอบด้วย Second, Seventh, Third, Sixth โดยมี intervals ทั้งในทาง Major และ Minor ดังนี้
- Major Intervals คือ คู่โน้ตที่อยู่ในทาง Major มีดังนี้
- M2 (Major Second) คือ โน้ตคู่ 2 Major | C D ห่างกัน 2 ครึ่งเสียง
- M3 (Major Third) คือ โน้ตคู่ 3 Major | C E ห่างกัน 4 ครึ่งเสียง
- M6 (Major Sixth) คือ โน้ตคู่ 6 Major | C A ห่างกัน 9 ครึ่งเสียง
- M7 (Major Seventh) คือ โน้ตคู่ 7 Major | C B ห่างกัน 11 ครึ่งเสียง
- Minor Intervals คือ คู่โน้ตที่อยู่ในทาง Minor มีดังนี้
- m2 (Minor Second) คือ โน้ตคู่ 2 Minor | C Db ห่างกัน 1 ครึ่งเสียง
- m3 (Minor Third) คือ โน้ตคู่ 3 Minor | C Eb ห่างกัน 3 ครึ่งเสียง
- m6 (Minor Sixth) คือ โน้ตคู่ 6 Minor | C Ab ห่างกัน 8 ครึ่งเสียง
- m7 (Minor Seventh) คือ โน้ตคู่ 7 Minor | C Bb ห่างกัน 10 ครึ่งเสียง
Diminished Intervals
Diminished หมายถึง การทำให้เสียงแคบลง โดยคู่เสียง Diminished จะหมายถึง คู่เสียงใดก็ตามที่ถูกทำให้เสียงแคบลงครึ่งเสียง จะกลายเป็นคู่เสียง Diminished ยกตัวอย่างเช่น
- คู่ 5 ถูกแคบลงครึ่งเสียง จะเรียก คู่ 5 Diminished เช่น C กับ Gb
- คู่ 8 แคบลงครึ่งเสียง จะเป็น Diminished Unison เช่น C กับ Cb (ห้ามเรียก B)
คู่เสียง Major แคบลงครึ่งเสียง จะกลายเป็น คู่เสียง Minor ยกตัวอย่าง C ไป E เป็นคู่เสียง Major ถ้าลดลงครึ่งเสียงจะกลายเป็น C ไป Eb ซึ่งเป็น Minor
คู่เสียง Minor แคบลงครึ่งเสียง จะกลายเป็น Diminished Third จาก C ไป Eb เป็นคู่เสียง Minor ถ้าลดลงครึ่งเสียงจะ กลายเป็น C ไป Ebb ซึ่งเป็น Diminished Third
Augmented Intervals
Augmented คือ การชยายให้กว้างขึ้น โดยคู่เสียง Augmented จะหมายถึง คู่เสียงใดก็ตามที่ถูกทำให้เสียงขยายกว้างขึ้น จะกลายเป็นคู่เสียง Augmented ยกตัวอย่างเช่น
- คู่ 5 ขยายให้กว้างขึ้น จะเรียกว่า คู่ 5 Augmented เช่น C กับ G#
- คู่ 4 ขยายให้กว้างขึ้น จะเรียกว่า คู่ 4 Augmented เช่น C กับ F#
หมายเหตุ
คู่ 4 Augmented F# กับ คู่ 5 Diminished Gb เสียงเหมือนกัน แต่เรียกไม่เหมือนกัน แบบนี้เรียกว่า Enharmonic
A4 (Augmented Fourth) ห่างกัน 6 ครึ่งเสียง
d5 (Diminished Fifth) ห่างกัน 6 ครึ่งเสียง

การหดขยายของ Intervals

Perfect Intervals
- ขยายเสียงเพิ่มขึ้นครึ่งเสียง เป็น Augmented
- ลดเสียงลงครึ่งเสียง เป็น Diminished
Major Intervals
- ขยายเสียงเพิ่มขึ้นครึ่งเสียง เป็น Augmented
- ลดเสียงลงครึ่งเสียง เป็น Minor
Minor Intervals
- ขยายเสียงเพิ่มขึ้นครึ่งเสียง เป็น Major
- ลดเสียงลงครึ่งเสียง เป็น Diminished
หมายเหตุ: Intervals อาจจะขยายได้กว้างกว่า Augmented จะกลายเป็น Doubly Augmented หรือ หดให้แคบได้กว่า Diminished จะกลายเป็น Doubly Diminished ซึ่ง 2 กรณีนี้มีให้เห็นน้อยมาก เพียงต้องการให้รู้ว่าสามารถเป็นไปได้
ลักษณะเสียงคู่เสียง (Interval Characteristics)
ในดนตรีตะวันตก ความสัมพันธ์ของโทนเสียงในช่วง 1 Octave จากโน้ต C ไปยัง C มีการแบ่งเป็น 12 ช่วงเสียงที่เท่ากัน โดยช่วงเสียงนั้นจะห่างกัน ครึ่งเสียง แบบ Chromatic Scale ในทางลำดับเสียงขั้นต่างๆ จะส่งผลต่อความรู้สึกในแบบต่างๆ ดังตารางนี้
Interval | Characteristic |
---|---|
m2 | ขัดแย้งรุนแรง (Sharp Dissonance) |
M2 | ขัดแย้งเล็กน้อย (Mild Dissonance) |
m3 | สอดคล้องนุ่มนวล (Soft Consonance) |
M3 | สอดคล้องนุ่มนวล (Soft Consonance) |
P4 | สอดคล้อง หรือไม่สอดคล้อง (Consonance or Dissonance) |
A4, d5, TT (Tritone) | เสียงเป็นกลาง หรือไม่นิ่ง (Neutral or Restless) |
P5 | สอดคล้องกัน (Open Consonance) |
m6 | สอดคล้องนุ่มนวล (Soft Consonance) |
M6 | สอดคล้องนุ่มนวล (Soft Consonance) |
m7 | ขัดแย้งเล็กน้อย (Mild Dissonance) |
M7 | ขัดแย้งรุนแรง (Sharp Dissonance) |
P8 | สอดคล้องกัน (Open Consonance) |