Aria ตำนานกีตาร์ญี่ปุ่น ที่ดังในอเมริกา

Aria กีตาร์สัญชาติญี่ปุ่น ที่ยอมรับและรู้กันดีในหมู่มือกีต้าร์ว่าเป็นกีต้าร์คุณภาพสูง Aria โด่งดังช่วงปลายปี70 และช่วงต้น 80 ในขณะที่กีต้าร์จากเอเชีย Brand อื่นๆ กำลังวุ่นอยู่กับการขอเครดิต เพื่อจะขายในฝั่งตะวันตก แต่ Aria สามารถขายฝั่งตะวันตกได้แล้ว ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่บริษัทที่สามารถทำได้ และก้าวไปสู่แบรนด์ระดับโลก
แม้ว่าAria จะสามารถพัฒนากลายเป็น Brand ระดับโลก แต่อดีตก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจลบเลือน ในช่วงปี 70 ยุคทองแห่งการ Copy จนต่างชาติขนานนามว่า "copy era" Aria คือหนึ่งในแบรนด์ญี่ปุ่นนั้น ในระหว่างนั้น Ariaได้ผลิตกีตาร์รุ่นพิเศษออกมามากมาย
ประวัติความเป็นมาของ Aria
“ทุกอย่างเริ่มต้นจากกีตาร์คลาสสิก” Shiro Arai (ชิโระ อาราอิ) ประธานและผู้ก่อตั้ง Aria Guitars กล่าว
วันหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งมาเยี่ยมอพาร์ทเมนต์ของ Shiro Arai พร้อมกับกีตาร์ Shiro Arai คาดหวังว่าจะได้ฟังเพลงญี่ปุ่นแนวโคกะ แต่เพื่อนของเขากลับเล่นเพลงของ Bach แทน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้รับแรงบันดาลใจจากเสียงของเครื่องดนตรีชนิดนี้มาโดยตลอด
วันรุ่งขึ้น Shiro Arai ก็ซื้อกีตาร์ตัวแรกของเขา ซึ่งมีราคามากกว่าเงินเดือนของเขา 2เท่า และเริ่มฝึกเล่นกีตาร์ด้วยตัวเอง ตอนนี้เขาเล่นกีตาร์ทั้งวันทั้งคืน ความหลงใหลในกีตาร์ทำให้เขาได้พบกับปรมาจารย์กีตาร์คลาสสิกชื่อดังในนาโกย่า และในไม่ช้าเขาก็กลายมาเป็นลูกศิษย์ของเขาคนหนึ่ง
Shiro Arai เริ่มทำงานในบริษัท Trading ในปี 1947 ขณะอายุได้ 17 ปี
ในปี 1953 Shiro Arai และเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนลาออก และก่อตั้งบริษัท Trading ของตนเองขึ้น
หลังจากนั้น 1ปี บริษัทก็ล้มละลายต้องปิดตัวลง Shiro Arai กลายเป็นคนไร้บ้าน เขาเหลือแค่กีตาร์ตัวเดียวเท่านั้น เพื่อที่จะมีชีวิตรอด และยังมีหนี้อีกก้อนโต เขาจึงเริ่มสอนกีตาร์
จุดเริ่มต้นของ Aria
ในปี 1954 เนื่องจากไม่สามารถซื้อกีตาร์ เครื่องดนตรี และเครื่องสายในร้านขายเครื่องดนตรีได้ Shiro จึงเริ่มนำเข้ากีตาร์คลาสสิก สายกีตาร์ของ Augustine และโน้ตเพลงสำหรับตัวเขาเองและนักเรียนของเขา กีตาร์คลาสสิกเหล่านี้เป็นกีตาร์รุ่นแรกๆ ที่นำเข้ามายังญี่ปุ่นหลังสงครามโลก โดยมีเครื่องดนตรีจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงอย่าง Jose Ramirez และ Hermann Hauser Shiro มองเห็นความต้องการกีตาร์ที่เพิ่มมากขึ้นจากเพื่อนและผู้เล่นทั่วญี่ปุ่น จึงใช้โอกาสนี้เริ่มต้นธุรกิจใหม่ของตัวเอง ในวันที่ 2 สิงหาคม 1956 บริษัท ARAI & CO., INC ก่อตั้งขึ้น
Shiro ทัวร์อเมริกา
Shiro ออกทัวร์ทั่วสหรัฐอเมริกาพร้อมกับกีตาร์ KOHNO ที่ดีที่สุดสองตัวของญี่ปุ่น ในเวลานั้น กีตาร์ญี่ปุ่นมีชื่อเสียงไม่ดีนักในเรื่องการเกิดรอยแตกร้าวที่ตัวกีตาร์และคอกีตาร์ที่บิดเบี้ยวหลังจากที่ถูกสัมผัสกับสภาพอากาศที่แห้งแล้งในต่างประเทศ Shiro ตั้งใจที่จะพิสูจน์ว่ากีตาร์ญี่ปุ่นดีแค่ไหนโดยการแสดงและแสดงให้เพื่อนนักกีตาร์ ครู และร้านขายเครื่องดนตรีดู หลังจากผ่านไปสองเดือน กีตาร์เหล่านี้ก็เริ่มมีรอยแตกร้าวเช่นกัน
แม้แต่กีตาร์ Kohno ที่ดีที่สุดที่มีขายก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน Shiro นำกีตาร์ที่แตกร้าวเหล่านี้กลับไปที่ญี่ปุ่นเพื่อแสดงให้ช่างผลิตกีตาร์ของเขาเห็นว่า การเลือกใช้ไม้ และการปรับแต่งไม้นั้นอย่างเหมาะสมนั้นสำคัญเพียงใด การเดินทางครั้งนี้ทำให้ Shiro ได้รับประสบการณ์และความรู้เพื่อปรับปรุงคุณภาพของกีตาร์และส่งออกกีตาร์ญี่ปุ่นไปทั่วโลก
ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษปี 1950s Arai เริ่มนำเข้ากีตาร์และแอมป์ Fender จากสหรัฐอเมริกา แม้ว่าในเวลานั้นตลาดญี่ปุ่นจะยังไม่พร้อมสำหรับกีตาร์ไฟฟ้าก็ตาม! หลังจากนั้นไม่นาน ความต้องการกีตาร์ไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อกระแสดนตรีร็อกแอนด์โรลเข้ามา
กีตาร์ไฟฟ้ารุ่นแรก
ในปี 1963 Arai เปิดตัวกีตาร์ไฟฟ้าแบรนด์ ARIA รุ่นแรก ตามมาด้วยรุ่น 1532T และ 1802T ที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา
เพื่อรับมือกับการตกต่ำของกีตาร์ไฟฟ้าแบบตัวตัน Arai จึงได้เปิดตัวกีตาร์กึ่งอะคูสติกแบบ hollow ในซีรีส์ Aria Diamond ซึ่งตั้งชื่อตามเพชรเทียมที่ฝังไว้บนหัวกีตาร์ ซีรีส์นี้ส่งผลให้มีการเปิดตัวรุ่น 1202 และ 1302 ในปี 1966 และสร้างความฮือฮาในญี่ปุ่นอย่างมาก ตั้งแต่ปี1967 Aria ได้เพิ่มรุ่นต่างๆ มากมาย รวมถึงกีตาร์แบบตัวSolid รุ่น 1962T, R-320 และกีตาร์เบสทรงไวโอลิน และกีตาร์ Hollow body ตัวรุ่น 1262
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของ Aria
จุดเปลี่ยนใหญ่เกิดจากงาน NAMM ที่อเมริกา ในปี1968 ในงาน Gibson ได้นำ Les Pual reissued มาจัดแสดง มันเลยเป็นการ inspired ให้กับ Arai
ในปี 1969 ที่เริ่มสร้าง กีต้าร์ทรง Gibson classic ที่เป็น bolt on neck และนั่นเป็นการ kick off ยุคแห่งการ COPYในปี 1970อย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นไม่นาน กีตาร์ที่เป็นที่นิยมในฝั่งอเมริกาก็เริ่มทยอยถูก COPY (แน่นอนว่า Fender ก็ไม่รอด Ampeg Dan Armstrong clear Lucite guitar ก็ด้วย)
จุดกำเนิด Aria Pro II
ในช่วงกลางทศวรรษปี 1970s Aria ได้เพิ่มแบรนด์กีตาร์ไฟฟ้าอีกแบรนด์หนึ่งคือ Aria Pro II ซึ่งรวมถึงรุ่นที่มีอินเลย์แบบแฟนซี แบรนด์ Aria ยังคงใช้ชื่อแบรนด์นี้ในตลาดต่างๆ รุ่นที่ดีหลายรุ่นผลิตที่โรงงาน Matsumoku ของญี่ปุ่น (จนกระทั่งโรงงานปิดตัวลงในปี 1987) ส่วน Copy ของ Aria ยังคงผลิตต่อจนถึงปี 1978 ซึ่งเป็นปีที่ Aria ได้รับการสนับสนุนจาก Herb Ellis ซึ่งเป็นผู้ผลิต PE-175 ซึ่งเป็นกีตาร์ไฟฟ้าแบบ Archtop ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Gibson กีตาร์ไฟฟ้าแบบ Full Body Thinline เป็นสินค้าหลักของ Aria นับจากนั้นเป็นต้นมา
ในปี 1977 ได้มีการเปิดตัวกีตาร์รุ่น PE Prototype ซึ่งเป็นกีตาร์ที่เป็นทรงของตัวเอง ผลิตโดย Matsumoku ซึ่งกีตาร์มีทั้งแบบ set-neck และ bolt-on-neck บอดี้เป็น single-cutaway และมีการทำ Carved Top กีตาร์ PE Prototype ของญี่ปุ่นซึ่งหลายตัวมีการตกแต่งที่หรูหรา มี Vibrato และ P.J. Marx pickups จากเกาหลี ช่วงปี 1988
ในปี 1978 Aria Pro II ได้เปิดตัวรุ่นขายดีอีกหนึ่งรุ่นที่ชื่อ SB-1000 ซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วโลก และกลายมาเป็นตัวแทนของแบรนด์ Aria และคุณภาพการผลิตของญี่ปุ่น โดยบอดี้ SB-1000 ทำจากไม้แอชของแคนาดาพร้อมคอแบบ through body และ heel-less neck เล่นง่าย
กีตาร์ Aria ที่เป็น Design ของตัวเองเปิดตัวครั้งแรกในปี 1979 เป็นกีตาร์แบบ offset body และ double cutaway พร้อมฮอร์นแหลม ซีรีส์ RS Rev Sound เป็นการต่อคอแบบ Neck Through และทรงคล้ายกีตาร์ Alembic โดยมี Pickup แบบ active ซีรีส์นี้ผลิตจนถึงปี 1982
กีตาร์ TS Thor Sound (หรือเรียกอีกอย่างว่า Tri-Sound) มี Pickup ทั้งแบบแบบ Passive และ Active มีการต่อคอทุกแบบ set-neck, bolt-on-neck และ Neck through ผลิตจนถึงปี 1983
ในปี 1981 Aria ได้เพิ่มซีรีส์ CS Cardinal Sound เข้ามาพร้อม Passive Pickup (บางรุ่นมีสวิตช์จำนวนมาก) และคอทั้งแบบแบบ Bolt on และ Set neck น่าเสียดายที่รุ่นนี้มีขายไม่กี่ปี
ในปี 1982 Aria ได้ช่วยสร้างกระแสกีตาร์รูปทรงแปลกใหม่ โดยปล่อย Urchin Series ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก B.C. (ขายถึงปี 1984)
Aria ยังมีรุ่น XX Flying V series และ ZZ Explorer series โดย 2 ซีรีส์นี้ ขายถึงปี 1987 โดยในช่วงปี 1982 ถึงปี 1986 บางรุ่นจาก 2 ซีรีส์นี้ ถูกผลิตใน line Black'n'Gold โดยที่จะเป็นสีดำและฮาร์ดแวร์สีทอง
ในปี 1983 Aria ได้เปิดซีรีส์ RS Rev Sound ที่ปรับปรุงใหม่ด้วยสไตล์แบบ Strat และคอแบบ Bolt on กีตาร์รุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนถึงช่วงปี 1990 Aria ปล่อยกีตาร์ Generation ที่ 2 ของ Rev Sound ช่วงหลังจากปี 1985 โดยมีรุ่นต่างๆ เช่น Bobcat, Wildcat และ Straycat
ในช่วงกลางของทศวรรษ 1980 กีตาร์รุ่น RS ได้ปรับ Profile คอให้หนาขึ้นจนจนใกล้เคียง Fender มากขึ้น รุ่นยอดนิยมอื่นๆ ในช่วงนี้ได้แก่ Knight Warrior และ Road Warrior
ในปี 1985 คำจำกัดความของ RS ถูกเปลี่ยนเป็น Rock Solid จากนั้นในปี 1986 จึงเปลี่ยนเป็น Cat Series กีตาร์ที่มีระบบ Locking ที่ถูกผลิตโดย Kahler ในปี 1986 กีตาร์เหล่านี้วางจำหน่ายจนถึงปี 1987 และโรงงาน Matsumoku ก็ปิดตัวลง
ในปี 1987 Aria ได้ปล่อยกีตาร์รุ่น US Custom ที่ผลิตในอเมริกาเป็นเวลาสั้นๆ ในปีเดียวกันนั้น Aria ได้เริ่มย้ายฐานการผลิตไปที่เกาหลี โดยยังคงผลิตรุ่น superstrat ต่อไป แต่ยังมีบางส่วนที่ยังคงผลิตในญี่ปุ่น ความจำเป็นในการรักษาราคาให้ต่ำ ไม่แพงเกินไปทำให้การผลิตส่วนใหญ่อยู่ในเกาหลี
ในปี 1988-89 ซีรีส์ CT, LB Libra, VA Vanguard และ WR Warrior ถูกแทนที่ด้วยซีรีส์ superstrat รวมถึงซีรีส์ Polaris, VS และ AW ถูกแทนที่ด้วยซีรีส์ FS, JS, XL Excel, VP Viper และ MA Magna ในปี 1990
ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 หลังจากกระแสเฮฟวีเมทัลมาแรง Aria Pro II ได้เปิดตัวรุ่นดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมรุ่นหนึ่ง นั่นคือซีรีส์ MA เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับไลน์ผลิตซีรีส์ PE และ SB
ในปี 1991 ได้เปิดตัวซีรีส์ AQ Aquanotes ซึ่งเป็นระดับไฮเอนด์และต่อมาพัฒนาเป็นซีรีส์ CR Cobra ตามมาด้วยซีรีส์ STG ซึ่งเป็นรุ่นล่างในปี 1993 ซึ่งกีตาร์ส่วนใหญ่หายไปจากตลาดในช่วงกลางทศวรรษ 1990
ในปี 1991 Aria ได้ผลิตกีตาร์รุ่นซิกเนเจอร์ของ Ventures และฟื้นคืนชีพอีกครั้งในปี 1999
ในปี 1994 ผู้จัดจำหน่ายของ Aria ในสหรัฐฯ อย่าง NHF Industries ได้เปิดตัวกีตาร์ single-cutaway ชื่อรุ่นว่า Nashville 93 ออกแบบโดย Trev Wikinson นักออกแบบชาวอังกฤษ และผลิตครั้งแรกในสหรัฐฯ Gretsch คัดค้านการใช้ชื่อ Nashville และกีตาร์จึงกลายมาเป็น The 615 Custom ซึ่งตั้งชื่อตามรหัสพื้นที่โทรศัพท์ของ Nashville ในปี 1998 กีตาร์รุ่น 615 เกรดต่ำกว่าผลิตในเกาหลี
ในช่วงเดียวกับได้เปิดตัวซีรีส์ Fullerton ซึ่งคล้ายกับ Strat มากขึ้น โดยมี Wikinson เข้ามาช่วยเพิ่มเติม รุ่นยอดนิยมถูกผลิตในสหรัฐอเมริกา ส่วนรุ่นอื่นๆ ส่วนใหญ่ผลิตในเกาหลี ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 กีตาร์รุ่น Aria Pro II ได้รับการยึดโยงโดย PE (เปลี่ยนชื่อเป็น Pro Electrics)