Pro Co RAT ก้อนสามัญประจำบอร์ด 40 กว่าปี

Pro Co RAT เป็นเอฟเฟ็ก Distortion หนึ่งในไม่กี่ตัวที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไป เป็นก้อนสามัญประจำ Board ด้วยความยืดหยุ่นของ Pro Co RAT จึงถูกใช้งานได้หลากหลายทั้งเป็นเป็น Boost, Overdrive, Distortion และ Fuzz มือกีตาร์มากมายใช้เจ้า RAT นี้ใน Pedalboard ทั้งเล่นสดและงานบันทึกเสียง มันอยู่คู่กับมือกีตาร์มานานกว่าสี่ทศวรรษ แล้ว อะไรที่ทำให้ RAT ถึงยังเป็นที่นิยมอยู่จนถึงตอนนี้
RAT เสียงที่เป็นเอกลักษณ์
Pro Co RAT รุ่นมาตรฐานเป็น Distortion แบบ Hard-Clipping ซึ่งสามารถให้เสียงที่เกือบจะเป็นเสียง Clean จนไปถึงเสียง Ultra Saturated Fuzz แบบอลังการได้
ความลับของเสียงที่แสนไพเราะของ Pro Co RAT เกิดจาก Op-Amp หนึ่งตัวและวงจรปรับ Gain กับ Silicon Diodes ที่ช็อตเอาต์พุตไปที่กราวด์ ซึ่งเป็นวิธีตัดแหล่งสัญญาณ อย่างไรก็ตาม Op-Amp ในวงจรของ RAT ทำงานด้วยอัตราที่สูงมาก โดยที่มันเริ่ม Distort สัญญาณก่อนที่จะเข้า Diode ซะอีก และนี่คือสาเหตุที่ RAT จึงให้เสียงที่ Distortion มีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยฮาร์มอนิก
เสน่ห์อีกอย่างของ RAT คือผลของ Op-amp มีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่ต่ำ ซึ่งทำให้มีรู้สึกเหมือนแอมป์ ตลอดอายุการใช้งาน RAT ได้รับการเปลี่ยนแปลงด้านรูปลักษณ์ การปรับเปลี่ยนการทำงาน และการสลับส่วนประกอบมากมาย Pro Co ยังได้เปิดตัว RAT มากมายหลายรุ่นโดยมี Clipping Diodes ที่แตกต่างกัน
จุดเริ่มต้นของ RAT
RAT ได้รับการออกแบบโดย Scott Burnham และ Steve Kiraly วิศวกรของ Pro Co ถูกพัฒนาขึ้นราวปี 1978 โดย Prototype ของ RAT ชุดแรกประกอบไปด้วย RAT ถึง 11 ตัว ซึ่งมักเรียกกันว่ารุ่น "Bud Box" โดยมีสร้างวงจรทั้งหมด 12 แบบ โดยเอฟเฟ็ก 10 ตัว จะถูกบรรจุวงจรที่แตกต่างกันตัวละ 1 วงจร แต่จะมีเอฟเฟ็กตัวที่ 11 ที่มีการบรรจุวงจรเข้าไป 2 วงจร
RAT ดั้งเดิมประกอบด้วย op-amp Motorola LM308, Clipping Diodes 1N914/1N4148 และตัวเก็บประจุ tantalum พร้อมกับปุ่มปรับ Distortion, โทน และ Volume
RAT รุ่นแรกถูกผลิตขึ้นในปี 1979 โดยใช้โครงสร้างวงจรเดียวกันกับ Bud Box โดยมีการปรับเปลี่ยนค่าของ Tweaked Pot เล็กน้อย เพิ่มค่าต้านทานอีกสองสามตัว และบัฟเฟอร์อินพุต FET แบบดั้งเดิม
ตัด Tone ออกใส่ Filter แทน
ในช่วงแรกๆ RAT มีการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์หลายครั้ง แต่รูปแบบวงจรยังคงเหมือนเดิม โดยมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย รวมถึงการใช้ตัวเก็บประจุไฟฟ้าแทนตัวเก็บประจุแทนทาลัม (ซึ่งตามที่ Scott Burnham ผู้ออกแบบ RAT กล่าวไว้ว่าไม่มีผลต่อประสิทธิภาพเสียง) นอกจากนั้น RAT รุ่นปี 1981 ยังเปลี่ยนการควบคุมโทนของรุ่นก่อนเป็นวงจร lowpass filter โดยที่ Label เขียนว่า "Filter" จากมุมมองของผู้ใช้ การควบคุมฟิลเตอร์จะทำหน้าที่เป็น reverse tone knob ดังนั้น การหมุนปุ่มฟิลเตอร์ตามเข็มนาฬิกาจะลดเสียงแหลมแทนที่จะเพิ่มเสียงเหมือนการควบคุมโทนทั่วไป รุ่น RAT ส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังคงรูปแบบ 3 ปุ่ม
RAT เล็กลง
การเปลี่ยนแปลงด้านรูปลักษณ์ครั้งใหญ่ที่สุดของ RAT เกิดขึ้นในปี 1984 เมื่อถูกบรรจุในกล่องที่เล็กลงซึ่งเหมาะกับการเอาไปใส่ใน Pedalboard ในรุ่น "White Face" มีวงจรแบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้า แต่เป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดมือสองเพราะสวย ซึ่งหลังจากนั้น RAT ก็กลับมาทำสีดำที่เรียกว่า "Black Face" เหมือนที่เห็นในปัจจุบัน
กำเนิด RAT 2
ในปี 1988 ทีมงานของ Pro Co ทราบดีว่าถึงเวลาแล้วที่จะปรับปรุง RAT ให้ทันสมัย ดังนั้น RAT 2 จึงถือกำเนิดขึ้น สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือการเพิ่มไฟ LED แสดงสถานะ ซึ่งอยู่ภายใน "A" ของโลโก้ RAT ไฟ LED นี้ใช้วงจร millennium bypass circuit นอกจากวงจรของไฟ LED แล้ว RAT 2 ใช้วงจรแบบเดียวกันกับรุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตามคนที่ใช้ RAT หลายคนยืนยันว่า RAT ตัวก่อนหน้า RAT 2 ให้เสียงที่ดีกว่ารุ่นหลังๆ RAT 2 ยังมีกราฟิกเรืองแสงในที่มืด และรุ่นหลังๆ ก็มีการปรับปรุ่งให้ตัวเอฟเฟ็กมีความลาดเอียงเหยียบง่ายกว่าเดิม

ศึกระหว่าง LM308 กับ OD07DP
ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 การผลิต RAT 2 ได้ย้ายไปยังต่างประเทศที่ประเทศจีน ในช่วงเวลานี้เองที่ RAT รุ่นปกติได้มีการปรับเปลี่ยนวงจรครั้งสำคัญ เมื่อ Pro Co เปลี่ยน op-amp LM308 เป็น OD07DP ผู้ที่ชื่นชอบ RAT หลายคนมองว่า RAT ที่ใช้ Op-amp LM308 นั้นให้เสียงที่ดีกว่ารุ่นหลังๆ โดยบอกว่า OD07DP นั้นให้เสียงที่สดใสและแหลมกว่ารุ่นวินเทจ ซึ่งเขาไม่ชอบ


Josh Scott แห่ง JHS pedals ได้โต้แย้งว่า op-amp OD07DP นั้นมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ op-amp LM308 โดยมีการตอบสนอง อัตราการแกว่งของสัญญาณ (slew rate) และการลดทอนความถี่ที่เหมือนกัน ดังนั้น RAT 2 และ RAT วินเทจ จึงควรให้เสียงและประสิทธิภาพที่คล้ายคลึงกัน เพื่อเน้นย้ำข้อโต้แย้งของเขา Josh Scott ยังตั้งข้อสังเกตว่าไม่มีแป้นเหยียบ RAT สองตัวที่ให้เสียงเหมือนกันทุกประการ โดยนำแป้นเหยียบ RAT สองตัว ที่หมายเลข Serial number ติดกัน ซึ่งผลิตในวันเดียวกันโดยผู้ผลิตเดียวกันมาเปรียบเทียบ ซึ่งเสียงที่ได้มีความแตกต่างกันเล็กน้อยแม้หมุนปุ่มในตำแหน่งเดียวกัน
Turbo RAT และ Deucetone RAT
Pro Co RAT ถูกผลิตในหลากหลายรุ่น แม้ว่ารุ่นปกติจะยังขายผลิตอยู่ โดย Turbo RAT เปิดตัวครั้งแรกในปี 1989 โดยใช้ LED สีแดงแทน silicon clipping diodes ซึ่งให้ Output ที่มากขึ้น ถ้าคุณต้องการใช้ RAT เพื่อฺ Boost เสียง Distortion ของ Amp เจ้าตัว Turbo RAT คือคำตอบ เกรี้ยวกราดสุดๆ

Deucetone RAT ผลิตครั้งแรกในปี 2002 คือ RAT 2 ตัวที่อยู่ในกล่องเดียวกัน โดยที่สัญญาณเป็นอิสระต่อกัน ซึ่งเสียงที่คุณจะได้จะเป็น RAT ในแบบ Vintage พร้อมกับ เสียงเฉพาะตัวที่หาได้จากรุ่น Deucetone เท่านั้น

You Dirty RAT และ FAT RAT
ในปี 2004 บริษัท Pro Co ได้เปิดตัว You Dirty RAT ซึ่งแทนที่ Silicon Clipping Diodes แบบมาตรฐานด้วย Germanium หากคุณต้องการเสียง Distortion ของ RAT ที่ความเข้มข้น (extra saturation) และบีบอัดที่มากขึ้น (extra compression) คุณจะต้องชอบ You Dirty RAT แน่ๆในปี 2014 ได้มีการเปิดตัว FAT RAT ซึ่งใช้โครงสร้าง RAT topologyแบบดั้งเดิม แต่มาในรูปแบบแพ็คคู่ กับวงจรตัดเสียง MOSFET ที่สลับได้ FAT RAT มีการวงจรเพิ่มเสียงเบส และโทนเสียงกลางที่นุ่มนวลขึ้น ทำให้ FAT RAT เป็นที่นิยมของมือเบส และคนที่เล่นแนว Drop สาย


ในปี 2021 เป็นยุคที่คนชอบเล่น mini Pedal ทำให้ Pro Co ปล่อย Lil’ RAT โดยเอาวงจร RAT 2 ใส่ลงไปในกล่องขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังมี RAT รุ่นใหม่ ได้ถูกผลิดจากผู้ผลิตอื่นๆ อีกหลายรุ่น เช่น JHS PackRat, Walrus Audio Iron Horse V3, Catalinbread Katzenkönig และ Wampler Ratsbane

ส่งท้าย
Pro Co RAT ถือได้ว่าเป็นหนึ่งใน Effect Pedal ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดรุ่นหนึ่งเท่าที่มีมา โดยเทียบเคียงได้กับ Pedal ที่มีชื่อเสียงอย่าง Ibanez Tube Screamer, BOSS DS-1 และ MXR Distortion + ดังนั้น คุณจึงสามารถพบ RAT ได้ใน Pedalboard ศิลปินระดับโลกมากมาย เช่น James Hetfield, Nuno Bettencourt, Alex Turner แห่ง Arctic Monkeys, David Gilmour แห่ง Pink Floyd, รวมไปถึง Thom Yorke แห่ง Radiohead ยังใช้ Turbo RAT