Date : 
July 3, 2025

Intervals (อินเตอร์วัล) คืออะไร?

Intervals thumbnail

การทำความเข้าใจคู่เสียงอย่างถ่องแท้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในการเรียนรู้ดนตรีทุกประเภท เนื่องจากคู่เสียงเป็นองค์ประกอบสำคัญของดนตรีสากลที่เราได้ยินกันทุกวันนี้

แต่ละช่วงเสียงจะมีลักษณะเสียงที่แตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งเราควรเข้าใจความสัมพันธ์ของมัน ทั้งทางหูและทางตา

คู่เสียงหากเล่นพร้อมกัน เราจะเรียกว่า Harmony (เสียงประสาน) แต่ถ้าเล่นเรียงกันตามลำดับ จะเรียกว่า Melody (แบบทำนอง)

Intervals (คู่เสียง) คือ ความสัมพันธ์ของเสียงระหว่างโน้ต 2 ตัว ว่าห่างกันแบบไหน

Interval มีอยู่ 2 ชนิดคือ

  • Melodic Intervals เกิดจากโน้ตสองตัวที่เปล่งเสียง "ตามลำดับต่อเนื่องกัน"
  • Harmonic Intervals ประกอบด้วยโน้ตสองตัวที่เปล่งเสียงออกมา "พร้อมกัน"

ในหนึ่งช่วงเสียง 1 Octave จะแบ่งเป็น 12 ช่วงเสียง ดังนั้นโน้ตจะมีอยู่ทั้งหมด 12 ตัว แต่ละตัวมีระยะห่างกันครึ่งเสียง

12 semi tone
ในหนึ่งช่วงเสียง (1 Octave) แข่งเป็น 12 ส่วนเท่าๆกัน

โดยโน้ตเพลงจะมีชื่อเรียกอยู่ 7 ชื่อ C, D, E, F, G, A, B นอกนั้นเป็น Sharp , Flat

เราจะเริ่มกันด้วยที่เอา C Major Scale มาวาง แล้ววิเคราะห์

C major scale
ลำดับโน้ตต่างๆใน Major scale

C ไป D ห่างกัน 2 ลำดับ เป็นคู่ 2

C ไป E ห่างกัน 3 ลำดับ เป็นคู่ 3

C ไป F ห่างกัน 4 ลำดับ เป็นคู่ 4

C ไป G ห่างกัน 5 ลำดับ เป็นคู่ 5

C ไป A ห่างกัน 6 ลำดับ เป็นคู่ 6

C ไป B ห่างกัน 7 ลำดับ เป็นคู่ 7

C ไป C ห่างกัน 8 ลำดับ เป็นคู่ 8

หมายเหตุ : ความห่างของลำดับ ไม่ต้องดู Sharp  Flat

Sharp Flat เป็นตัวกำหนดระยะห่างที่เอาไว้บอกถึง Quality คุณลักษณะของคู่เสียงนั้น

ชื่อคู่เสียง (Naming Intervals)

 นอกจากจะบอกลำดับความห่างของเสียง "เป็นคู่" ตามที่อธิบายด้านบนแล้วยังไม่พอ เพื่อระบุช่วงได้อย่างแม่นยำ จำเป็นต้องจำแนกช่วงทั่วไปตามคุณลักษณะของเสียงด้วย

ส่วนประกอบของชื่อคู่เสียง 

ในการบอกชื่อของ Intervals ได้อย่างถูกต้อง ต้องคำนึงถึงหลัก 2 ประการ คือ

  1. ขนาดของ Intervals (Quantitative) คือ ระยะช่วงห่างระหว่างตัวโน้ต 2 ตัว จากการนับไล่ตามลำดับขั้น (Degree) ซึ่งกำหนดนับจากโน้ตตัวแรก ไปจนถึงตัวโน้ตอีกตัวหนึ่ง
  2. คุณลักษณะของ Intervals (Qualitative) คือ การบอกคุณลักษณะของคู่เสียงนั้น โดยมี 5 แบบดังนี้
  • Perfect แทนด้วย P 
  • Major แทนด้วย M
  • Minor แทนด้วย m
  • Augmented แทนด้วย A
  • Diminished แทนด้วย d

วิธีเขียนชื่อคู่เสียง

ชื่อของ Interval จะเขียนโดยที่เอา Quality ไว้ด้านหน้า แล้วตามด้วยลำดับ Degree ไว้ด้านหลัง

  • คู่เสียง Perfect ขึ้นต้นด้วย P ตามด้วยลำดับ เช่น P5, P4
  • คู่เสียง Major ขึ้นต้นด้วย M  ตามด้วยลำดับ เช่น M2, M3, M6, M7
  • คู่เสียง Minor ขึ้นต้นด้วย m ตามด้วยลำดับ เช่น m2, m3, m6, m7
  • คู่เสียง Augmented ขึ้นต้นด้วย A  ตามด้วยลำดับ เช่น A4
  • คู่เสียง Diminished ขึ้นต้นด้วย d  ตามด้วยลำดับ เช่น d5

ประเภทของ Intervals

Perfect Intervals

Perfect Intervals ประกอบด้วย Octave, Unison, Fifth, Fourth

โน้ตที่ฟังแล้วเข้ากัน เสียงกลืนกัน (Consonance) ประกอบไปด้วย

  • P1 (Perfect Unison) คือโน้ตตัวเดียวกัน C กับ C 
  • P4 (Perfect Fourth) คือ โน้ตคู่สี่ เช่น C กับ F ห่างกัน 5 ครึ่งเสียง
  • P5 (Perfect Fifth) คือ โน้ตคู่ห้า เช่น C กับ G ห่างกัน 7 ครึ่งเสียง
  • P8 (Perfect Octave) คือ โน้ตเดียวกัน ที่ห่างกัน 1 Octave 12 ครึ่งเสียง

Imperfect Intervals

Imperfect Intervals ประกอบด้วย Second, Seventh, Third, Sixth โดยมี intervals ทั้งในทาง Major และ Minor ดังนี้

  • Major Intervals คือ คู่โน้ตที่อยู่ในทาง Major มีดังนี้
    • M2 (Major Second) คือ โน้ตคู่ 2 Major | C D ห่างกัน 2 ครึ่งเสียง
    • M3 (Major Third) คือ โน้ตคู่ 3 Major | C E ห่างกัน 4 ครึ่งเสียง
    • M6 (Major Sixth) คือ โน้ตคู่ 6 Major | C A ห่างกัน 9 ครึ่งเสียง
    • M7 (Major Seventh) คือ โน้ตคู่ 7 Major | C B ห่างกัน 11 ครึ่งเสียง
  • Minor Intervals คือ คู่โน้ตที่อยู่ในทาง Minor มีดังนี้
    • m2 (Minor Second) คือ โน้ตคู่ 2 Minor | C Db ห่างกัน 1 ครึ่งเสียง
    • m3 (Minor Third) คือ โน้ตคู่ 3 Minor | C Eb ห่างกัน 3 ครึ่งเสียง
    • m6 (Minor Sixth) คือ โน้ตคู่ 6 Minor | C Ab ห่างกัน 8 ครึ่งเสียง
    • m7 (Minor Seventh) คือ โน้ตคู่ 7 Minor | C Bb ห่างกัน 10 ครึ่งเสียง

Diminished Intervals

Diminished หมายถึง การทำให้เสียงแคบลง โดยคู่เสียง Diminished จะหมายถึง คู่เสียงใดก็ตามที่ถูกทำให้เสียงแคบลงครึ่งเสียง จะกลายเป็นคู่เสียง Diminished ยกตัวอย่างเช่น

  • คู่ 5 ถูกแคบลงครึ่งเสียง จะเรียก คู่ 5 Diminished เช่น C กับ Gb
  • คู่ 8 แคบลงครึ่งเสียง จะเป็น Diminished Unison เช่น C กับ Cb (ห้ามเรียก B)

คู่เสียง Major แคบลงครึ่งเสียง จะกลายเป็น คู่เสียง Minor  ยกตัวอย่าง C ไป E เป็นคู่เสียง Major ถ้าลดลงครึ่งเสียงจะกลายเป็น C ไป Eb ซึ่งเป็น Minor

คู่เสียง Minor แคบลงครึ่งเสียง จะกลายเป็น Diminished Third จาก C ไป Eb เป็นคู่เสียง Minor ถ้าลดลงครึ่งเสียงจะ กลายเป็น C ไป Ebb ซึ่งเป็น Diminished Third

Augmented Intervals

Augmented คือ การชยายให้กว้างขึ้น โดยคู่เสียง Augmented จะหมายถึง คู่เสียงใดก็ตามที่ถูกทำให้เสียงขยายกว้างขึ้น จะกลายเป็นคู่เสียง Augmented ยกตัวอย่างเช่น

  • คู่ 5 ขยายให้กว้างขึ้น จะเรียกว่า คู่ 5 Augmented เช่น C กับ G#
  • คู่ 4 ขยายให้กว้างขึ้น จะเรียกว่า คู่ 4 Augmented เช่น C กับ F#

หมายเหตุ

คู่ 4 Augmented F# กับ คู่ 5 Diminished Gb เสียงเหมือนกัน แต่เรียกไม่เหมือนกัน แบบนี้เรียกว่า Enharmonic

A4 (Augmented Fourth) ห่างกัน 6 ครึ่งเสียง

d5 (Diminished Fifth) ห่างกัน 6 ครึ่งเสียง

naming intervals
ชื่อเรียกของ Intervals และความห่างของช่วงเสียง มีหน่วยเป็น semi tone (ครึ่งเสียง)

การหดขยายของ Intervals

Intervals
ลักษณะการขยายและหดตัวของ Intervals

Perfect Intervals

  • ขยายเสียงเพิ่มขึ้นครึ่งเสียง เป็น Augmented 
  • ลดเสียงลงครึ่งเสียง เป็น Diminished 

Major Intervals

  • ขยายเสียงเพิ่มขึ้นครึ่งเสียง เป็น Augmented 
  • ลดเสียงลงครึ่งเสียง เป็น Minor

Minor Intervals

  • ขยายเสียงเพิ่มขึ้นครึ่งเสียง เป็น Major
  • ลดเสียงลงครึ่งเสียง เป็น Diminished

หมายเหตุ: Intervals อาจจะขยายได้กว้างกว่า Augmented จะกลายเป็น Doubly Augmented หรือ หดให้แคบได้กว่า Diminished จะกลายเป็น Doubly Diminished ซึ่ง 2 กรณีนี้มีให้เห็นน้อยมาก เพียงต้องการให้รู้ว่าสามารถเป็นไปได้

ลักษณะเสียงคู่เสียง (Interval Characteristics)

ในดนตรีตะวันตก ความสัมพันธ์ของโทนเสียงในช่วง 1 Octave จากโน้ต C ไปยัง C มีการแบ่งเป็น 12 ช่วงเสียงที่เท่ากัน โดยช่วงเสียงนั้นจะห่างกัน ครึ่งเสียง แบบ Chromatic Scale ในทางลำดับเสียงขั้นต่างๆ จะส่งผลต่อความรู้สึกในแบบต่างๆ ดังตารางนี้

Interval Characteristic
m2 ขัดแย้งรุนแรง (Sharp Dissonance)
M2 ขัดแย้งเล็กน้อย (Mild Dissonance)
m3 สอดคล้องนุ่มนวล (Soft Consonance)
M3 สอดคล้องนุ่มนวล (Soft Consonance)
P4 สอดคล้อง หรือไม่สอดคล้อง (Consonance or Dissonance)
A4, d5, TT (Tritone) เสียงเป็นกลาง หรือไม่นิ่ง (Neutral or Restless)
P5 สอดคล้องกัน (Open Consonance)
m6 สอดคล้องนุ่มนวล (Soft Consonance)
M6 สอดคล้องนุ่มนวล (Soft Consonance)
m7 ขัดแย้งเล็กน้อย (Mild Dissonance)
M7 ขัดแย้งรุนแรง (Sharp Dissonance)
P8 สอดคล้องกัน (Open Consonance)

Writer

Tar Tungsai
อยู่กับมันให้มากพอ เดี๋ยวคุณก็ทำได้เอง อะไรที่อยู่ใน Tungsai หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคุณ
linkedin facebook pinterest youtube rss twitter instagram facebook-blank rss-blank linkedin-blank pinterest youtube twitter instagram