ความสูง Pickup ส่งผลต่อ Sustain อย่างไรบ้าง?

สำหรับนักกีตาร์หลายๆ คน เสียงดังเป็นเรื่องธรรมดา และยิ่งดังก็ยิ่งดี ด้วยความต้องการให้เสียงดัง นักกีตาร์หลายๆ คนจะขยับ Pickup ให้ใกล้กับสายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การทำเช่นนี้จะทำให้เกิด Output ที่มากขึ้น แต่ความสูงของปิ๊กอัพไม่เพียงส่งผลต่อระดับ Output ของกีตาร์เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อ Sustain และความสัมพันธ์ระหว่างระดับ Output ของกีตาร์กับระดับเสียงในการดีดอีกด้วย
ความสูงของปิ๊กอัพส่งผลต่อ Output ของกีตาร์อย่างไร ในการทดสอบเบื้องต้น โดยการ Set ความสูงของ Pickup ให้ห่างจากสาย 1 แตกต่างกัน 2 ตำแหน่ง คือ 2 mm และ 4 mm แล้วทำการอัดเสียง จะได้ลักษณะของเสียง ตามภาพ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน กราฟของตำแหน่ง 4 mm จะมีการขยายให้กราฟมีขนาด เท่าๆ กันเพื่อสังเกตลักษณะของคลื่นเสียง


จากภาพเห็นได้ได้ว่าในช่วงแรกกราฟมีลักษณะสูงที่เป็นจุด Peak สุดของเสียง นั่นคือการที่ Pick กระทบกับสาย เสียงส่วนนี้เป็นค่าความดังที่เกิดจากการ Attrack และกราฟส่วนต่อมาเสียงจะค่อยๆ เล็กลง ซึ่งกราฟทั้งคู่มีความคล้ายกัน
แต่ถ้าสังเกตช่วงเสียงต่อมาดี กราฟเสียงของ 4 mm จะมีค่า Sustain ที่มากว่า 2mm โดยลักษณะของเสียงจะมีความหนาของเสียงยาวกว่า และมีการพยายามขยายตัวให้เสียงดังขึ้น กราฟที่เห็นนี้เกิดขึ้นมาจากการที่ Pikup ที่อยู่ห่างจากสาย ฟลักซ์แม่เหล็กในขั้วพยายามจัดเรียงตัวแนวฟลักซ์แม่เหล็ก เพื่อต่อต้านการรบกวนของสายที่สั่นอยู่
ในทางกลับกัน ตำแหน่งของสายที่อยู่ใกล้กับแม่เหล็กมากเกินไป จะทำให้เกิดการรบกวน หรือทำลายฟลักซ์แม่เหล็กที่วิ่งอยู่ได้ง่ายกว่า หรือรบกวนฟลักซ์มากเกินไป ทำให้การเรียงตัวของฟลักซ์แม่เหล็กทำได้ยากกว่า
อย่างไรก็ตาม คุณควรหาระดับ pickup ที่พอดี เพราะถ้าห่างจากสายมากเกินไป ระดับเสียงโดยรวมจะเบามากเกินไป ซึ่งคุณจึงต้องเพิ่มการความดังของแอมป์ หรือการควบคุม Input ของ Audio Interface เพื่อชดเชยภาพรวมของเสียงที่เบาลง
ผลกระทบอื่นๆ ที่เกิดจากระดับ Pickup
กีตาร์ไฟฟ้าเป็นเครื่องดนตรีที่กลไกของเสียงเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ มีการกระทบกระเทือน หรือมีการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กรอบๆตัวรับสัญญาณ ในที่นี้คือ Pickup ดังนั้นช่วงความถี่เริ่มต้นอาจถึงระดับที่ได้ยินชัดและดังได้ก็จริง แต่ส่วนใหญ่แล้วช่วงความถี่แรกไม่ใช่โทนเสียง เนื่องจากประกอบด้วยเสียงกระแทกกันของสายและปิ๊ก
ช่วงความถี่เริ่มต้นเหล่านี้มักไม่ค่อยสร้างปัญหาให้กับ input ของแอมป์หลอด เนื่องจากตัวหลอดจะดูดซับ (Abosorb)ระดับเสียงดัง หรือเสียงกระแทกในช่วงแรกไว้ แต่จะต่างกันในระบบ Digital Processor ซึ่งจะมี Compressor เป็นตัวควบคุมระดับเสียงที่ดังขึ้นขึ้น ในช่วงที่ระดับเสียงแรงเกินไป กลไกควบคุมเสียงมักจะ "จับ" เพื่อลดสัญญาณลง ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงป๊อบ เมื่อการบีบอัดเริ่มทำงาน นอกจากนี้ การจำลองแอมป์โดยทั่วไปจะไม่ชอบช่วงความถี่ช่วงเริ่มต้น เนื่องจากที่จะได้เสียงที่บีบอัดแล้วยังต้อง smooth เหมือนแอมป์หลอดเป็นเรื่องยาก
ช่วงความถี่ระดับสูง หรือสัญญาณ input ที่แรง เลยต้องมีการลด input โดยตรงใน Audio Interface เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสัญญาณ ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวน (signal-to-noise ratio) และความละเอียดของเสียงลดลง
การลดระดับของช่วงความถี่เริ่มต้นสามารถช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้ เมื่อปิ๊กอัพอยู่ห่างจากสายมากขึ้น ระดับของช่วงความถี่เริ่มต้นจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งในทางกลับกัน คุณจะต้องเพิ่มระดับ Input เพื่อชดเชย Output ของปิ๊กอัพที่ต่ำลง แต่ในทุกวันนี้มีเกนมากมายให้เลือกใช้ ซึ่งถือว่าไม่ใช่ปัญหาเลย
การที่สัญญาณไม่ถูก Clipในช่วงแรกมาก Toneโดยรวมจะยังคงอยู่ ซึ่งเป็นผลดีต่อ Sustain ของกีตาร์
สรุป
- ถ้าคุณใช้แอมป์หลอด การกระแทกของ Pick กับสาย ในช่วงแรกของเสียง จะไม่มีผล ตัวหลอดจะ Absorb เสียงกระแทกเอง
- ถ้าคุณใช้ Digital รวมถึง Audio interface การเซ็ตระดับ Pickup Height ไม่ให้สูงเกินไปจะช่วยให้ เสียงกระแทกช่วงแรกไม่แรงเกินไป ตัว Compressor ไม่ต้องทำงานหนัก และช่วย Tone โดยรวมได้ดี
- การที่ Pickup อยู่ในตำแหน่งที่พอดี ทำให้เวลาที่ดีดสาย จะทำให้การเรียงตัวของฟลักซ์แม่เหล็กกลับมาเรียงตัวได้เร็วขึ้น และมีการพยายามจะคงสภาพเดิม ทำให้เสียงจะมี Sustain
- ทางกายภาพของ Pickup ถ้าระดับ Pickup สูงเกินไป รับเสียงจะดังขึ้น แต่แรงดูดของแม่เหล็กก็สูงขึ้นด้วย ถ้าดูดมาก สายจะถูกลดทอนการสั่น Sustain หายครับ
- แม่เหล็กแต่ละประเภท ความแรงในการดึงดูดไม่เท่ากัน
- Pickup แต่ละแบบ Output ไม่เหมือนกัน